วิชาระบบฐานข้อมูลและการออกแบบ รหัสวิชา3901-1003

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

กลุ่มคำสั่งData Control Language

DCL (Data Control Language) คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร


DCL (Data Control Language)
คือกลุ่มภาษาที่ใช้สำหรับการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในตาราง
ข้อมูล เช่น กำหนดให้ นาย A สามารถเข้าถึงเฉพาะตารางข้อมูลนี้ ห้ามเข้าถึงตารางข้อมูลอื่น ๆ หรือกำหนดให้ นาย B
เข้าถึงได้ เฉพาะ Field ที่ต้องการเป็นต้น โดยมีคำสั่งต่าง ๆ โดยย่อดังนี้

1. GRANT
คือคำสั่งสำหรับการให้สิทธิกับบุคคลต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลในระดับที่เรากำหนดโดยมีรูปแบบคำสั่งโดยย่อดังนี้
1
2
3
4
GRANT <privilege>
ON <object>
TO <user>
<WITH GRANT OPTION>
2. REVOKE
คือคำสั่งที่มีไว้สำหรับการยกเลิกสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ของบุคคลต่าง ๆ โดยมีรูปแบบคำสั่งโดยย่อดังนี้
1
2
3
REVOKE <GRANT OPTION FOR><permission>
ON <object>
FROM <user><CASCADE>

โดยขออธิบายเพิ่มเติมคำสั่งต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังนี้
<privilege> คือสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล โดยสามารถระบุคำสั่งของกลุ่ม DML ลงไปได้เช่น SELECT, UPDATE, DELETE และ INSERT
<object> คือชื่อตารางข้อมูลที่เราต้องการกำหนดสิทธิ
<user> คือชื่อผู้เข้าใช้งาน

ภาษาควบคุมข้อมูล (Data Control Language : DCL)

เป็นชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้ในการใช้ข้อมูล รวมทั้งส่วนที่ใช้ควบคุมการใช้งานฐานข้อมูลจากผู้ใช้หลาย ๆ คนพร้อมกัน คำสั่งที่จัดอยู่ในประเภท DCL ได้แก่ คำสั่ง GRANT, REVOKE เป็นต้น 

 GRANT
เป็นคำสั่งเพื่อกำหนดสิทธิของการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลว่าผู้ใช้แต่ละ คน มีสิทธิกระทำการใด ๆ กับข้อมูลเช่น  เพิ่ม, ลบ,แก้ไขข้อมูลในตารางใดได้บ้างหรือกำหนดให้สามารถดูข้อมูลได้เพียงอย่าง เดียวเท่านั้น
การกำหนดสิทธิเข้าถึงข้อมูลได้แก่   การเรียกค้นข้อมูล (SELECT),  การเพิ่มข้อมูล (INSERT),  การลบข้อมูล (DELETE), และการปรับปรุงข้อมูล (UPDATE)   โดยมีรูปแบบดังนี้


3
     

 REVOKE
 เป็นคำสั่งเพื่อยกเลิกสิทธิการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล   โดยมีรูปแบบดังนี้


4
เขียนโดย Unknown ที่ 20:32 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

กลุ่มคำสั่ง Data Manipulation Language

DML (Data Manipulation Language) คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร 

DML (Data Manipulation Language) 

คือภาษาสำหรับจัดการข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในตารางข้อมูล ซึ่งในกลุ่มภาษา DML นั้นจะครอบคลุมการจัดการข้อมูลทั้งหมด เช่น การเพิ่ม, แก้ไข, ค้นหา และลบข้อมูล โดยคำสั่งต่าง ๆ มีดังนี้
 
1. SELECT 
คือคำสั่งสำหรับสืบค้นข้อมูล หรือค้นหาข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในตารางข้อมูล โดยมักนิยมใช้งานรวมกับคำสั่ง WHERE เพื่อใช้ในการสร้างเงื่อนไขในการแสดงผลข้อมูล โดยมีคำสั่งโดยย่อดังนี้
1
SELECT * FROM <ชื่อตาราง> WHERE ( <เงื่อนไข> )
 
2. INSERT 
 คือคำสั่งสำหรับการเพิ่มข้อมูลลงไปในตารางข้อมูล เช่นการเพิ่มข้อมูลพนักงาน, สินค้า เป็นต้น โดยมีคำสั่งโดยย่อดังนี้
1
INSERT INTO <ชื่อตาราง> VALUES ( <ค่าข้อมูล>, <ค่าข้อมูล>, ... N )
 
3. UPDATE
  คือคำสั่งสำหรับการปรับปรุง หรือแก้ไขข้อมูลในตารางข้อมูล โดยสามารถใช้งานรวมกับคำสั่ง WHERE เพื่อสร้างเงื่อนไขในการแก้ไขข้อมูล
1
UPDATE <ชื่อตาราง> SET <ชื่อ Field> = <ค่าข้อมูล> WHERE ( <เงื่อนไข> )
 
4. DELETE
  คือคำสั่งในการลบข้อมูลในตารางข้อมูล โดยสามารถใช้งานรวมกับคำสั่ง WHERE เพื่อสร้างเงื่อนไขสำหรับการลบข้อมูล
1
DELETE FROM <ชื่อตาราง> WHERE ( <เงื่อนไข> )
โดยทั้งหมดคือความหมาย และคำสั่งโดยย่อของกลุ่มภาษา DML (Data Manipulation Language) ครับ  

ภาษาจัดการข้อมูล (Data Manipulation Language : DML )

เป็นชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับประมวลผลหรือจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล คำสั่งที่จัดอยู่ในประเภท DML
ได้แก่ คำสั่ง SELECT,  INSERT,  UPDATE,  DELETE  เป็นต้น

1138529136 SELECT
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเรียกค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลมาแสดงตามที่ผู้ใช้ต้องการ ในการเรียกค้นข้อมูลสามารถใช้คำสั่งได้หลายลักษณะ
ดังนี้คือ

mh_o1  การเรียกดูข้อมูลแบบไม่มีเงื่อนไข
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเรียกดูข้อมูลอย่างง่ายที่สุด โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ  โดยมีรูปแบบดังนี้



a1

lh_g1  การเรียกดูข้อมูลแบบมีเงื่อนไข
เป็นคำสั่งที่ใช้การเรียกดูข้อมูลเฉพาะที่ตรงกับเงื่อนไขที่ผู้ใช้ต้องการ  โดยมีรูปแบบดังนี้


chap5_p2_2_condition_clip_image002_0000


zh_p1  การเรียกดูข้อมูลจากหลายตาราง
เป็นคำสั่งเพื่อใช้ในการเรียกดูข้อมูลจากหลายตาราง  เนื่องจากบางครั้งข้อมูลที่ต้องการอยู่ในหลาย ๆ ตาราง  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการใช้คำสั่งเพื่อดึงข้อมูลมาจากหลายตาราง

gh_m1  การเรียกดูข้อมูลโดยใช้กลุ่มฟังก์ชัน
เป็นคำสั่งพิเศษที่มีอยู่ในภาษา SQL    ได้แก่คำสั่งต่อไปนี้

COUNT   ใช้สำหรับนับจำนวนแถวข้อมูลของคอลัมน์  ว่าในคอลัมน์นั้นมีข้อมูลจำนวนกี่แถว

SUM     ใช้สำหรับหาผลรวมข้อมูลที่เป็นตัวเลขของคอลัมน์

AVG    ใช้สำหรับหาค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่เป็นตัวเลขของคอลัมน์

MAX    ใช้สำหรับหาค่าข้อมูลตัวเลขที่มากที่สุดของคอลัมน์

MIN     ใช้สำหรับหาค่าข้อมูลตัวเลขที่น้อยที่สุดของคอลัมน์
ฟังก์ชั่นพิเศษนี้นำไปใช้โดยใส่ไว้หลังคำสั่ง

SELECT และตามด้วยคอลัมน์  เป็นการกำหนดว่าให้ฟังก์ชั่นนี้กระทำกับ คอลัมน์ใด ๆ
โดยมีรูปแบบดังนี้


45





INSERT
เป็นคำสั่งเพื่อเพิ่มข้อมูลเข้าไปในตาราง     โดยมีรูปแบบดังนี้


55


UPDATE
เป็นคำสั่งเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่เคยบันทึกไว้แล้วในตาราง   โดยมีรูปแบบดังนี้


update1


DELETE
เป็นคำสั่งเพื่อลบแถวข้อมูลออกจากตาราง  ซึ่งจะลบข้อมูลเฉพาะที่ตรงกับเงื่อนไขที่ผู้ใช้ต้องการ     โดยมีรูปแบบดังนี้


2 

เขียนโดย Unknown ที่ 20:27 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

กลุ่มคำสั่งData Definition Language

DDL (Data Definition Language) คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร 

ภาษา DDL (Data Definition Language)

หรือภาษาสำหรับจัดการ และนิยามโครงสร้างของฐานข้อมูล เป็นภาษาที่มีไว้สำหรับจัดการฐานข้อมูลโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นการ สร้างฐานข้อมูล, แก้ไข หรือลบฐานข้อมูล โดยในภาษา DDL นั้นประกอบไปด้วยภาษาคำสั่งต่าง ๆ ดังนี้ 

1. CREATE คือคำสั่งสำหรับการสร้างนิยาม หรือสร้างฐานข้อมูลนั้นเอง หากเราต้องการสร้างฐานข้อมูล เราสามารถใช้รูปแบบคำสั่งได่ดังนี้

1
2
3
4
5
CREATE TABLE <ชื่อตารางข้อมูล>
(
<ชื่อ Field> <ชนิดข้อมูล (ขนาดข้อมูล)>,
<ชื่อ Field> <ชนิดข้อมูล (ขนาดข้อมูล)>
)
 
2. ALTER  คือคำสั่งในการแก้ไขโครงสร้างของตารางข้อมูล เช่น เราต้องการแก้ไข ชื่อ Field หรือแก้ไของค์ประกอบต่าง ๆ ของตารางข้อมูล มีคำสั่งโดยย่อดังนี้
1
2
ALTER TABLE <ชื่อตารางข้อมูล> DROP COLUMN <ชื่อ Field>
ALTER TABLE <ชื่อตารางข้อมูล> ADD COLUMN <ชื่อ Field><ชนิดข้อมูล (ขนาดข้อมูล)>
 
3. DROP คำคำสั่งสำหรับลบตารางข้อมูล มีคำสั่งโดยย่อดังนี้
1
DROP TABLE <ชื่อตารางข้อมูล>
 
ทั้งหมดคือความหมาย และคำสั่งในกลุ่มภาษา DDL (Data Definition Language) ซึ่งในบทความนี้จะไม่เน้นในส่วนของคำสั่งมากนัก เพราะอยากให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ความหมายเบื้องต้น และคำสั่งโดยย่อเพียงเท่านั้นครับ

ภาษานิยามข้อมูล (Data Definition Language : DDL)

เป็นชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับกำหนดโครงสร้างของตารางในฐาน ข้อมูล  คำสั่งที่จัดอยู่ในประเภท DDL นี้
ได้แก่ CREATE, ALTER และ DROP
iconhanar CREATE TABLE
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างของตาราง    โดยมีรูปแบบดังนี้


cr_table
 
 ตัวอย่าง คำสั่งการสร้าง customer
CREATE TABLE customer
[customer_no char(6) NOT NULL,
 c_name char(10) ืNOT NULL,
 c_address char(20),
 c_credit_limit decimal(7,2),
 c_current_balance decimal(7,2)];

h0d22 ALTER TABLE
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตาราง   โดยมีรูปแบบดังนี้


format


คำสั่ง  ALTER   TABLE    สามารถใช้ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตารางได้  4  รูปแบบ คือ
    
 lh_g1 ใช้ในการเพิ่มคอลัมน์
           ตัวอย่าง   การเพิ่มคอลัมน์
ต้องการเพิ่มคอลัมน์   e_telephone  ลงในตาราง  customer  สามารถกระทำได้โดยใช้คำสั่งดังนี้
 
 
at1
    

 zh_p1 ใช้ในการเปลี่ยนแปลงขนาดความกว้างของคอลัมน์
           ตัวอย่าง   การเปลี่ยนแปลงขนาดความกว้างของคอลัมน์
ต้องการเปลี่ยนแปลงขนาดความกว้างของคอลัมน์  c_address  จากเดิม 20  ไปเป็น 25  สามารถกระทำได้โดยใช้คำสั่งดังนี้
 

at2
    

 5h_r1 ใช้ในการเปลี่ยนชื่อคอลัมน์
           ตัวอย่าง   การเปลี่ยนชื่อคอลัมน์  
ต้องการเปลี่ยนชื่อคอลัมน์  จาก customer_no    ไปเป็น  c_no   สามารถกระทำได้โดยใช้คำสั่งดังนี้
 
 
at3
    

 h_mm1 ใช้ในการลบคอลัมน์จากตาราง
           ตัวอย่าง   การลบคอลัมน์ออกจากตาราง
ต้องการลบคอลัมน์   c_telephone    ออกจากตาราง    สามารถกระทำได้โดยใช้คำสั่งดังนี้
 
 
at4
   
  iconhanar DROP TABLE
         เป็นคำสั่งที่ใช้ในการลบตารางออกจากฐานข้อมูล  โดยมีรูปแบบดังนี้


dt1
          
 
ตัวอย่าง   ต้องการลบตาราง  customer   ออกจากฐานข้อมูล 
 
 
dt2
เขียนโดย Unknown ที่ 19:50 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

อาเซียน

ตอนนี้ไม่ว่าจะไปทางไหน หรือกำลังจะเริ่มทำธุรกิจอะไร แน่นอนว่าคุณต้องได้ยินคำว่า
"AEC" อย่างแน่นอน แล้วเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าAEC คืออะไร


AEC (เออีซี) คืออะไร
AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ
ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน

การรวมตัวของทั้ง 10 ประเทศนี้ เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน เหมือนกับการรวมตัวของกลุ่ม Euro Zone
ซึ่งแต่ละประเทศจะมีผลประโยชน์ต่อกัน เช่นการทำธุรกิจ เศรษฐกิจ การนำเข้า ส่งออกได้อย่างเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) จะเริ่มต้น และมีผลบังคับใช้ วันที่ 1 มกราคม 2558
AEC มาจากไหน ?

ภายหลังที่การดำเนินการไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตาได้บรรลุเป้าหมายในปี 2546 อาเซียนยังคงให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ณ ประเทศกัมพูชา ได้เห็นชอบให้อาเซียนกำหนดทิศทางการดำเนินงาน
เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือที่เราเรียกกันย่อๆว่า AEC

ในระยะแรกเริ่ม เพื่อดำเนินการตามมติดังกล่าวของผู้นำอาเซียน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ได้เห็นชอบให้
ทำการศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน (ASEAN Competitiveness Study) ซึ่งผลการศึกษาได้เสนอแนะให้อาเซียนเร่งรัดการรวมกลุ่มในสาขาอุตสาหกรรม/บริการที่มีศักยภาพของ อาเซียน
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านสินค้าอุปโภค/บริโภค ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่อาเซียนมีการค้าระหว่างกันในอาเซียนสูงสุด และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงสุดของอาเซียน

ในขณะเดียวกัน อาเซียนต้องปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนในปี 2546 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ผู้นำอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ Bali Concord II เห็นชอบให้มีการรวมตัวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
และให้ เร่งรัดการรวมกลุ่มเพื่อเปิดเสรีสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขาสำคัญ (priority sectors)
ได้แก่ การท่องเที่ยว การบินยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร และประมง เทคโนโลยีสารสนเทศและ สุขภาพ



ประชาคมอาเซียนภายใต้กฎบัตรอาเซียน
กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) คืออะไร

กฎบัตรอาเซียน เปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของอาเซียนที่จะทำให้อาเซียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล เป็นการวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรให้กับอาเซียน โดยนอกจากจะประมวลสิ่งที่ถือเป็นค่านิยม หลักการ และแนวปฏิบัติในอดีตของอาเซียนมาประกอบกันเป็นข้อปฏิบัติอย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิกแล้ว ยังมีการปรับปรุงแก้ไขและสร้างกลไกใหม่ขึ้น พร้อมกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กรที่สำคัญในอาเชียนตลอดจนความสัมพันธ์ในการดำเนินงานขององค์กรเหล่านี้ ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนให้สามารถดำเนินการบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวของประชาคมอาเซียน ให้ได้ภายในปี พ.ศ.2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้
ทั้งนี้ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองกฎบัตรอาเซียน ในการประชุมสุดยอดยอดเซียน ครั้งที่ 13เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ณ ประเทศสิงคโปร์ ในโอกาสครบรอบ 40 ของการก่อตั้งอาเซียน แสดงให้เห็นว่าอาเซียนกำลังแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความก้าวหน้าของอาเซียนที่กำลังจะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมั่นใจระหว่างประเทศสมาชิกต่าง ๆ ทั้ง 10 ประเทศ และถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่จะปรับเปลี่ยนอาเซียนให้เป็นองค์กรที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล ประเทศสมาชิกได้ให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียน ครบทั้ง 10 ประเทศแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน2551 กฎบัตรอาเซียนจึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป
เขียนโดย Unknown ที่ 23:33 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

บทความโทษและโรคของบุหรี่

 บุหรี่ 
เป็นสิ่งเสพติดอย่างอ่อนที่ถูกต้องตามกฎของประเทศ ซึ่งทำรายได้แก่ผู้ผลิตและรัฐบาลจำนวนมาก แต่บุหรี่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงหลายอย่างของระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต พิษของบุหรี่เป็นฤทธิ์ผสมของสารพิษต่างๆ ในควันควันบุหรี่ที่สูดดมเข้าทางปาก และ จมูก คนที่ติดบุหรี่ทีโอกาสเป็นมะเร็งที่ปอด ปาก หลอดลม กระเพาะปัสสาวะ หรือที่ตับอ่อน เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ และอาจมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ และผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงด้วย
ควันบุหรี่ประกอบด้วย
ควันบุหรี่มาจากการเผาไหม้ของใบยาสูบ กระดาษมวน และสารบางอย่างที่เติมลงไปในบุหรี่ จากการเผาไหม้ ที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง คือ อุณหภูมิของบุหรี่ ณ จุดที่กำลังเผาไหม้จะสูงถึง 900 องศาเซลเซียส และจะมีอุณหภูมิลดลง เมื่อออกจากก้นกรองเข้าสู่ปาก ที่อุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส แต่เมื่อบุหรี่เหลือประมาณ 1 นิ้ว อุณหภูมิของควันที่เข้าปาก เพิ่มขึ้นเป็น 50 องศาเซลเซียส ควันบุหรี่ที่เกิดจากการเผาไหม้บุหรี่นั้น แบ่งได้ 2 ประเภทคือ
1.ควันที่สูบ (Mainstream)
2.ควันบุหรี่ที่เผาไหม้โดยไม่ได้สูบ (Sidestream)
3.ควันบุหรี่ทั้งส่วนนี้จะประกอบด้วยสารเคมีที่คล้ายคลึงกันแต่จะมีปริมาณที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วพบว่ามี สารเคมีที่อยู่ในควันบุหรี่ที่ไม่ได้สูบโดยตรง มากกว่าส่วนที่ผ่านบุหรี่เข้าสู่ปาก เพราะได้ทีการกรองด้วยเส้นยาสูบและก้นกรอง ในบุหรี่ก่อนเข้าสู่ปากของผู้สูบบุหรี่ ดังนั้นผู้ที่อยู่ใหล้ชิดผู้สูบบุหรี่ พึงตระหนักไว้ว่า ท่านมีโอกาสได้รับสารพิษจากควันบุหรี่ มากกว่าผู้สูบ 2-5 เท่า สารเคมีต่างๆที่ออกมากับควันบุหรี่มีมากไม่ต่ำกว่า 3,800 ชนิด แต่ที่ทราบคุณสมบัติทางชีวเคมีแล้วมีเพียงไม่กี่ชนิด สารเหล่านี้อยู่ในสถานะทั้งที่เป็นอนุภาคเล็กๆ ก๊าซ ของเหลว และน้ำมันดิน ได้แก่
3.1 นิโคติน เป็นสารที่มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ไม่มีสี ร้อยละ 95 ของนิโคติน ที่เข้าสู่ร่างกายจะไปจับอยู่ที่ปอด บางส่วนจับอยู่ที่เยื่อหุ้มริมฝีปาก และบางส่วนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด มีผลโดยตรงต่อต่อมหมวกไต ทำให้มีการหลั่งสารเอพิเนฟริน ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดแดงหดตัว และอาจหัวใจวายได้ มีการเพิ่มของไขมันในเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ และอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
 3.2 ทาร์ (น้ำมันดิน) มีลักษณะเป็นละอองของเหลวเป็นยางสีน้ำตาลเข้มคล้ายน้ำมันดิบร้อยละ 50 ของทาร์จะจับอยู่ที่ปอด ทำให้เซลล์ของปอดไม่ทำสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ เมื่อรวมตัวกับฝุ่นที่สูดเข้าไปจะยังอยู่ในถุงลมปอด ทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นสาเหตุของการไอเรื้อรัง ก่อให้เกิดมะเร็งปอด และถุงลมโป่งพอง

3.3 สารจำพวกกรดและฟีนอล ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุผิว และรบกวนการทำงานของขนเล็กๆ ในจมูก
3.4 สารจำพวกอัลดีไฮด์และคีโตน สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุผิวของระบบทางเดินหายใจ
3.5 สารจำพวกโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ตัวที่พบมากที่สุดในควันบุหรี่คือ เบนโซ-(เอ)-พัยรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอย่างร้ายแรง

3.6 สารจำพวกก๊าซต่างๆได้แก่ 
     -คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นก๊าซที่มีความเข้มมากในควันบุหรี่เกิดจาการเผาไหม้ของใบยาสูบ จะขัดขวาง         การลำเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผู้สูบบุหรี่ได้รับออกซิเจนน้อยลงกว่าปกติ ไม่ต่ำกว่าร้อย           ละ 10-15 ทำให้หัวใจต้องเต้นเร็วกว่าปกติ เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอ มีการปวดหัว             คลื่นใส้ กล้ามเนื้อแขนและขาไม่มีแรง

      -ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคถุงลมโป่งพอง เพราะทำลายเยื่อบุหลอดลมส่วนปลาย           และถุงลม
      -แอมโมเนีย มีฤทธิ์ระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้แสบตา แสบจมูก หลอดลมอักเสบ เกิดอาการไอ      และมี         เสมหะมาก


     -ไฮโดรเจนไซยาไนด์ เป็นก๊าซที่ก่อให้เกิดอาการไอ มีเสมหะ และหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

3.7 สารพิษชนิดอื่นๆ ได้แก่สารเคมีกำจัดแมลง เช่น พาราไธออน ซึ่งตกค้างมาจากใบยาสูบ และโลหะหนักบางชนิด เช่น สารหนู นอกจากนี้อาจพบสารกัมมันตภาพรังสี เช่น เรเดียม โปโลเนียม
อันตรายของควันบุหรี่ต่อสุขภาพร่างกาย
ด กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย เกิดจาการสะสมของคลอเรสเตอรอล ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นอุปสรรคต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

1. สมองเสื่อมสมรรถภาพ เห็นลมหมดสติ เส้นเลือดสมองแตก เพราะการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการ สะสมของคลอเรสเตอรอล และเดการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปสู่สมอง
2. หน้าเหี่ยวย่น แก้เร็ว
3. โรคเหงือก ฟันดำ และกลิ่นปาก 
4. ไอเป็นเลือด ไอเรื้อรัง ผอมลง ซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งปอด
5. เหนื่อยง่าย หอบ แน่นหน้าอก ซึ่งเป็นอาการของโรคถุงลมโป่งพอง
6. หัวใจขาดเลือ

7. เล็บเหลือง นิ้วเหลือง

8. นิ้วเป็นแผลเรื้อรัง นิ้วกุด เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน ขาดเลือดไปเลี้ยง
9. ท้องแน่น อืด เบื่ออาหาร

10. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ



การเลิกบุหรี่ มิใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจของแต่ละคน รวมถึงโอกาสและระยะเวลาสักช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถทำได้โดยอาศัยขึ้นตอนดังนี้
1. นึกถึงเหตุจูงใจที่เลิกสูบบุหรี่ เช่น เพื่อความปลอดภัยของคนที่คุณรัก รวมถึงตัวคุณเองด้วย
2. เตรียมตัว ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเมื่อใดและที่ไหนที่คุณชอบสูบบุหรี่ แล้วลองคิดหากิจกรรมที่จะทำแทนการสูบบุหรี่ และทำให้คุณลืมการสูบบุหรี่ เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา เป็นต้น แล้วหาใครบางคนไว้คอยช่วยเหลือ เป็นสักขีพยานรับรู้ความตั้งใจของคุณ แล้วจึงกำหนดวันลงมือ
3. ลงมือ…หยุดเลย ต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจวัตรที่มักทำให้ต้องสูบบุหรี่เหมือนเมื่อก่อน
4. ยืนหยัดต่อไป เมื่อใครๆต่างก็รู้ว่าคุณเลิกได้แล้ว โอกาสที่จักลับไปสูบอีกครั้งหนึ่งจึงขึ้นกับตัวคุณเอง จงอย่าตามใจตนเอง จงฝึกการคลายเครียด เช่นการนั่งสมาธิ และ ต้องคอยระวังน้ำหนักตัวเองให้ดี ในขั้นแรกอาจใช้เวลาไม่กี่วัน จนถึงไม่กี่ปี ขั้นที่2 และ 3 อาจใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือ หลายสัปดาห์ ขั้นที่ 4 สำคัญมาก กว่าที่คุณจะมั่นใจว่าเลิกเด็ดขาดคงต้องใช้เวลาหลายเดือน
เขียนโดย Unknown ที่ 20:05 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
 
1.   ข้อใดไม่ใช่ ขั้นตอนหลักในการทำงานของคอมพิวเตอร์
  ก.  ประมวลผล            ข.  เก็บข้อมูล   
  ค.  รับข้อมูล               ง.  แสดงผลลัพธ์      
  จ.  นำข้อมูลเข้า (คนที่จะนำข้อมูลเข้าได้ก็คือ User ค่ะ)
2.  หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดในระบบคอมพิวเตอร์เรียกว่า
  ก.  บิต    ( 1 กับ 0)     ข.  ไบต์      
  ค. ฟิลด์                      ง.  เร็คคอร์ด   
  จ. ไฟล์   
3.  ข้อมูลเมื่อผ่านการประมวลผลแล้ว จะได้อะไร
  ก.  Document            ข.   Report   
  ค.  Information       ง.  Output 
  จ.  Database
4.  สัญญาณในคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณชนิดใด
  ก.  อนาล็อก            ข.  ดิจิตอล   
  ค.  ไฮบริค              ง.  ไฟฟ้า
  จ. อิเล็กทรอนิกส์
5. สิ่งใดที่หุ่นยนต์ไม่สามารถทำได้
  ก.  การเปิดกล่องระเบิด         ข.  การเลือกผลไม้
  ค.  การก่อการร้าย            ง.  การปอกเลือกไข่ต้ม  
  จ.  การเก็บฉัน้ระเบิด
6.  IP Address คือ
  ก.  หมายเลยประจำตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย
  ข.  โพรโทคอลที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  ค.  หมายเลขประจำของเครื่องเซิร์ฟเวอร์
  ง.  ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
  จ. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดกล่าวถึง Protocol ได้ถูกต้อง
  ก.  การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
  ข. การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล
  ค.  การบริหารวารสารและข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต
  ง. เครื่องมือที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูลในรูปแบบเอกสาร
  จ.  ภาษาการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบอินเทอร์เน็ต
8.  ส่วนประกอบใดของโปรแกรม Internet Explorer ที่ทำหน้าที่แสดงที่อยู่ของเว็ปไซด์
  ก.  แถบชื่อ                       ข.  แถบสื่อสาร    
  ค.  แถบสถานะ               ง.  พื้นที่แสดงเว็บเพจ   
  จ. แถบที่อยู่ของเว็บไซต์
9.   s15550036@student.rit.ac.th  ข้อความ ?s1555036? หมายถึงข้อใด
   ก.  Domain Name            ข.  Password       
   ค.  Sub Domain            ง.  Username    
   จ.  ISP
10. ไฟล์ที่ถูกบีบอัดด้วยโปรแกรม WinZip จะมีส่วนขยายหรือนามสกุลไฟล์ตามข้อใด
   ก.  .doc               ข.  .zip      
   ค.  .com               ง.  .txt      
   จ.  .exe
เฉลย 1.จ2.ก3.ค4.ข5.ค6.ก7.จ8.จ9.ง10.ข
เขียนโดย Unknown ที่ 19:38 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

เกี่ยวกับฉัน

Unknown
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน

คลังบทความของบล็อก

  • ▼  2016 (6)
    • ▼  กันยายน (6)
      • กลุ่มคำสั่งData Control Language
      • กลุ่มคำสั่ง Data Manipulation Language
      • กลุ่มคำสั่งData Definition Language
      • อาเซียน
      • บทความโทษและโรคของบุหรี่
      •   1.   ข้อใดไม่ใช่ ขั้นตอนหลักในการทำงานของคอมพิว...
บริษัทนี้ดี จำกัด ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.